หนังสือ ภาพริมสระน้ำ 1
ภาพริมสระน้ำ
ในสระว่ายน้ำนักกีฬาว่ายน้ำกำลังพุ่งโถมตัวอย่างสุดแรง รอบสุดท้ายของการแข่งขัน เพื่อเข้าสู่หลักชัย
ร่างนักกีฬาว่ายน้ำหญิงผิวสีแทนกระโจนลงในสระน้ำคนแล้วคนเล่า ตามด้วยเสียงไล่หลังของโค้ช
นักกีฬาว่ายน้ำหญิงคนหนึ่ง พอเธอปีนขึ้นมาถึงแท่นสตาร์ท อยู่ดีดีหัวเธอทิ่มลงในสระน้ำ แผ่นหลังกระแทกกับผิวน้ำ ท่าทางอาการคงหนักเอาการ เพราะเธอหายใจไม่ออก
ในขณะเดียวกัน ก็มีรถไฟขบวนหนึ่งค่อยๆวิ่งอ้อมผ่านอีกด้านหนึ่งของสระว่ายน้ำ ผู้โดยสารที่กำลังยืนจับราวกันอยู่ในรถไฟก็คือ พนักงานกินเงินเดือน หรือที่เรียกว่า ‘ซะระริมัง’ ในภาษาญี่ปุ่นที่กำลังจะเดินทางกลับบ้านหลังเลิกงาน
สายตาของพวกพนักงานที่อยู่ในรถไฟ มองข้ามตัวโรงเรียนไป จะเห็นภาพของพวกนักกีฬาว่ายน้ำหญิงบนพื้นคอนกรีต และภาพสีฟ้าอ่อนของน้ำที่มีอยู่เต็มสระน้ำที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆโดยไม่ได้ตั้งใจ
ภาพที่ว่านี้อาจจะช่วยปลอบประโลมจิตใจของพวกคนงานที่เหนื่อยล้าจนแทบจะหมดเรี่ยวแรง เพราะความร้อนของอากาศ หน้าร้อน ตลอดจนความยากลำบากนานัปการที่พวกเขาแบกรับอยู่ ได้ชั่วครู่ชั่วยามก็ว่าได้
มีชายรูปร่างสูงคนหนึ่งกำลังยืนดู การฝึกว่ายน้ำอยู่ไมไกลจากที่ที่พวกนักกีฬาว่ายน้ำกำลังฝึกว่ายน้ำกันอย่างขะมักเขม้น
ชายหน้าตาอ่อนโยน ท่าทางมองโลกในแง่ดี สวมกางเกงว่ายน้ำ และมีเสื้อคลุมพาดอยู่ที่หัวไหล่คนนั้น คือ ฮิโรโอะ อะโอะคิ เขาเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนนี้ และยังเป็นพ่อของเด็กชายสองคนที่เป็นนักเรียนชั้นประถมของโรงเรียนนี้อีกด้วย
(ฮิโรโอะ อะโอะคิ ทำงานในตำแหน่งตัวแทนหัวหน้าแผนกบริษัทสิ่งทอแห่งหนึ่ง) ลูกชายสองคนของเขากำลังว่ายน้ำอย่างสนุกสนานในลู่ริมสระน้ำลู่เดียวที่ว่างอยู่ ลูกสองคนไม่ต่างอะไรกับลูกหมาที่เข้ากันได้ดี คนโตเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 5 ส่วนคนเล็กเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 4 ซึ่งอยู่ชั้นต่ำกว่า 1 ปี
อะโอะคิ มาปรากฏตัวที่สระว่ายน้ำแห่งนี้ทุกเย็นตั้งแต่เมื่อ 4 วันก่อน ด้วยความที่เขารู้จักมักคุ้นกับครูที่เป็นโค้ชและรับปากว่าเขาจะไม่รบกวนนักกีฬา อะโอะคิจึงได้รับอนุญาตให้เขามาช่วยฝึกลูกชายว่ายน้ำที่นี่ได้
บางคร้งตัวอะโอะคิเองก็จะพุ่งตัวลงไปว่ายน้ำในสระราวกับมีดพับ และค่อยๆว่ายน้ำด้วยท่าฟรีสไตล์เป็นระยะทางยาว 25 เมตร ท่าทางการว่ายน้ำของเขาถือว่าไม่เลวเลย
ส่วนใหญ่เขามักจะยืนอยู่ที่ขอบสระน้า เพื่อไม่จะได้ไม่รบกวนนักกีฬาที่กำลังฝึกซ้อมอยู่ โดยปล่อยให้พวกเด็กๆลงไปเล่นน้ำในสระน้ำ บางครั้งเขาจะตอบคำถามลูกชายและให้ข้อควรระวังเกี่ยวกับวิธีการว่ายน้ำ แล้วก็เฝ้ามองการฝึกซ้อมอย่างเอาจริงเอาจังของนักกีฬาด้วยความชื่นชม
แล้วภรรยาของอะโอะคิ จะปรากฏตัวที่รั้วตรงทางเข้าสระน้ำพร้อมกับจูงหมาสีขาวขนปุกปุยตัวโตมาด้วย
เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง อะโอะคิเพิ่งจะสังเกตเห็นภรรยา เขาจึงส่งเสียงเรียกลูกชายสองคนที่กำลังวักน้ำเล่นกันอยู่ในสระน้ำ ลูกสองคนทำตามที่พ่อบอก ด้วยการรีบขึ้นจากสระน้ำเพื่อไปอาบน้ำฝักบัว
อะโอะคิเปลี่ยนเป็นนุ่งกางเกงขาสั้น แล้วกล่าวขอบคุณครูที่ยังสอนนักเรียนที่อยู่ตรงกลางม้านั่งของแท่นสตาร์ท แล้วเดินออกจากสระว่ายน้ำตามหลังลูกชายไป
ภรรยาของอะโอะคิ ยืนรออยู่แถวรั้ว เธอส่งยิ้มและโค้งให้กับครู แล้วส่งโซ่จูงหมาให้ลูกชายคนโต แล้วเธอก็เดินเคียงข้างไปกับสามีไปตามถนนที่ตัดผ่านหน้าโรงเรียน
บ้านของอะโอะคิอยู่ห่างจากโรงเรียนเพียงแค่ 2 โจ* (ในญี่ปุ่น2 โจ มีระยะทางเท่ากับ 2 เมตร กล่าวคือ 1 โจ จะเท่ากับ 1 เมตร (ผู้แปล))
ครูผู้ซึ่งเป็นโค้ชจะมองครอบครัวของอะโอะคิเดินกลับบ้านด้วยกันจนพวกเขาลับหายไปในร่มไม้ของต้นไม้ นังคิงฮะเซะ* (นังคิงฮะเซะ หรือที่รู้จักกันดีในภาษาอังกฤษว่า Chinese wax tree ใบใช้ย้อมสีได้ ส่วนผลนำมาทำเป็นน้ำมันได้) ภาพนี้ช่างเป็นภาพที่ประทับใจอย่างบอกไม่ถูก นี่คือการใช้ชีวิตจริงๆ ชีวิตที่สมและคุ้มกับการใช้ชีวิตจริงๆ ช่างเป็นภาพที่ประทับใจที่สมาชิกในครอบครัวพากันไปว่ายน้ำ แล้วเดินกลับบ้านด้วยกัน ก่อนที่จะทานอาหารเย็น
ครอบครัวของอะโอะคิเดินกลับไปตามทางเท้าที่มืดครึ้มของอากาศยามเย็น โดยมีเจ้าหมาสีขาวขนปุกปุยตัวโตเดินนำหน้า สิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่ที่บ้านคือ โต๊ะอาหารที่มีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยเสียงคุยกันอย่างสนุกสนานของสมาชิกในครอบครัวที่นั่งล้อมวงคุยกันตอนกลางคืนในหน้าร้อน
แต่ตอนนี้บรรยากาศไม่ได้เป็นไปตามที่ว่านี้ เพราะสิ่งที่รอคอยสามีภรรยาคู่นี้อยู่นั้น เป็นสิ่งที่ลูกๆและคนแถวบ้านไม่มีใครล่วงรู้ได้
จะเรียกว่าสิ่งที่ทั้งสองคนกำลังเผชิญอยู่ว่ายังไงดี
อะโอะคิถูกไล่ออกจากงานเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เพราะยักยอกเงินบริษัท
หลังจากที่เด็กๆหลับไปแล้ว ทั้งสองคนยังตื่นอยู่ ทั้งสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากัน เอาตัวพิงกับเก้าอี้พับที่เอาไปวางที่ระเบียงใต้ซุ้มต้นฟุจิ* (ต้นฟุจิหรือที่เรียกว่า Wisteria ในภาษาอังกฤษเป็นดอกไม้สีม่วงอ่อน เป็นพุ่มพวงบานห้อยระย้า ดอกฟุจิของญี่ปุ่น จะบานสะพรั่งสวยงามมากในฤดูใบไม้ผลิ และอาจจะบานห้อยยาวถึง 3 เมตร ถ้ามีซุ้มให้เลื้อย) ทั้งสองต่างไม่ได้พูดอะไรกัน มีเพียงบางครั้งเท่านั้นที่จะได้ยินเสียงพัดที่ทั้งสองถือไว้พัดไล่ยุงที่มาเกาะตามแขนขา
ภรรยาของอะโอะคิ เป็นผู้หญิงรูปร่างเล็ก ได้สัดส่วน ถ้าเห็นเธอตอนที่เดินอยู่ข้างนอกใส่รองเท้าแตะสีแดง มือข้างหนึ่งถือตะกร้าหวายสำหรับซื้อของไว้ที่มือ เราจะมีความรู้สึกว่าเธอเป็นแม่บ้านที่ร่าเริงทีเดียว บางครั้งจะเห็นเธอจูงหมาเข้าไปนั่งกินไอศกรีมที่ร้านกาแฟใกล้ๆสถานี บางครั้งเธอจะวิ่งแข่งกับลูกและหัวเราะชอบใจเวลาที่เธอวิ่งชนะลูก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ทำให้เธอช็อกไม่น้อยทีเดียว ความรู้สึกของเธอไม่ต่างอะไรกับนักมวยที่ถูกต่อยต้อนเข้ามุมจนเข่าทรุดลงไปข้างหนึ่ง
“ให้ตายสิ คุณรู้มั้ยว่าทำอะไรลงไป“
เป็นคำถามที่เธอถามออกไปพร้อมกับตาที่เบิกกว้างด้วยความตกใจ ตอนที่สามีเธอเล่าให้เธอฟังอย่างเหม่อลอยว่า เขาถูกไล่ออกจากงาน
สามีเธอจะกลับบ้านตอนใกล้ๆเที่ยงคืนทุกคืน บ่อยครั้งทีเดียวที่สามีเธอจะนั่งรถกลับบ้านหลังเที่ยงคืนไปแล้ว แต่เธอเคยชินกับสภาพที่ว่านี้จนไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรเสียแล้ว
สามีเธอบอกว่าจะต้องไปเลี้ยงต้อนรับลูกค้าซึ่งคงไม่ได้เลี้ยงกันทุกคืน แต่คงไปเที่ยวตามใจตัวเองจนดึกดื่น เธอไม่รู้แม้แต่น้อยว่า สามีเธอไปทำอะไรที่ไหน
เธอรู้ดีว่าพูดไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ แม้ว่าสามีจะกลับดึกดื่นก็ตาม แต่ดูเหมือนการกลับดึกดื่นนั้นไม่มีผลกระทบใดๆต่อร่างกายของสามีเธอ และเธอก็ไมเคยเห็นสามีบ่นอะไรแม้แต่น้อย เธอได้แต่เดาว่า ทุกอย่างคงเป็นไปด้วยดี สามีเธอไม่เคยปริปากคุยเรื่องงานที่บริษัทกับเธอ ส่วนเธอเองก็ไม่เคยถามสามี ดังนั้นเธอจึงเดาไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น
เท่าที่เธอรู้ สามีถูกจับได้ว่ายักยอกเงินบริษัทเป็นจำนวนเงินมากโขทีเดียว เงินที่ยักยอกนั้น ประมาณหกเท่าของเงินเดือนที่เขาได้รับจากบริษัท สามีเธอตั้งใจว่าจะเอาเงินนั้นคืนบริษัทอยู่แล้ว แต่ก่อนที่จะเอาเงินไปคืนก็ถูกจับได้เสียก่อน
( มีต่อ)