หนังสือ ภาพริมสระน้ำ (ตอนจบ)

All about books, All about Japanese, and culture, Books, Japan and culture, Japanese, Japanese is fun, Terakoya, ชีวิตในญี่ปุ่น, หนังสือ

ตอนดึก หลังจากที่ลูกนอนหลับไปแล้ว สามีเธอดื่มวิสกี้ไปพลางเล่าเรื่องให้เธอฟังว่า

ในตึกของบริษัทที่ทำงานอยู่นั้น ข้างๆลิฟต์ของแต่ละชั้นจะมีช่องให้ส่งจดหมายช่องว่างที่ว่านี้ มีลักษณะเป็นช่องว่างสี่เหลี่ยมยาวจากชั้นหนึ่งจนถึงชั้นเก้า ส่วนที่หันเข้าหาทางเดินนั้น จะทำทะลุลงมาให้เห็นจดหมายที่หล่นลงมาได้จากข้างนอก ครั้งก่อนตอนที่เดินผ่านตรงนั้น ผมจะเห็นซองสีขาวหล่นลงมา จดหมายจะหล่นลงมาถึงพื้นโดยผ่านช่องว่างระหว่างเพดานและทางเดินโดยไม่เกิดเสียง บางครั้งผมจะเห็นจดหมายหล่นติดต่อกันลงมา และหล่นเลยช่องว่างไปก็มี

ทางเดินของตึกนี้ จะมืดเป็นพิเศษ เวลาที่ไม่มีใครอยู่แถวนั้น อยู่ดีๆจะเห็นอะไรขาวๆหล่นลงมา ผมจะใจหายวูบ จะบอกว่าความรู้สึกที่ว่านั้นเป็นยังไงดีนะ มันไม่ต่างอะไรกับวิญญาณที่เหงาหงอยยังไงชอบกล

พอผมเดินห่างจากทางเดินไปเพียงก้าวเดียว ผมจะเห็นโลกมนุษย์ของเรา ที่เราจะประมาทหรือพลั้งเผลอไม่ได้แม้แต่น้อย ไม่ว่าห้องไหนจะเห็นคนแน่นเอี๊ยดไปหมด ถ้าผมหลุดจากห้องนั้น เพื่อไปห้องน้ำคนเดียว ในระหว่างเดินกลับไปที่ห้อง จะเกิดความรู้สึกเหมือนที่ผมว่านี้

ตอนเช้ามีบางครั้งที่ผมต้องไปบริษัทเช้ากว่าปกติด้วยเรื่องงาน ผมมองไปรอบๆห้องทำงานที่ยังไม่มีใครมา และไม่มีใครนั่งอยู่ ที่นั่งที่เขานั่งกันเป็นประจำจะมีเพียงเก้าอี้สำหรับให้คนนั่งเท่านั้น พอผมมองดูเก้าอี้ตัวนั้น ทั้งๆที่ไม่มีคนนั่งอยู่ตรงนั้น แต่ผมกลับมองเห็นภาพ ศีรษะ ตา และปากที่เคลื่อนไหวไปมาเวลาชายคนนั้นพูด ตลอดจนท่าทีที่เห็นได้จาก แผ่นหลังของชายคนนั้นได้อย่างชัดเจน

แผ่นหนังของเก้าอี้ตรงส่วนที่รองรับก้นของเขานั้น จะเห็นเป็นน้ำมันที่ดูดซึมอยู่ในตัวคนนั้นสะท้อนออกมา สิ่งที่ออกมานั้น อาจจะเป็นความโกรธ ความเร่งรีบ คำบ่น น้ำตา ความกลัวและความกังวลที่ไม่มีวันสิ้นสุดของคนคนนั้น มันเป็นเหมือนน้ำมันที่เก็บสะสมไว้ในร่างกายเป็นเวลานานแล้ว แล้วไหลออกมาจากตัวของคนคนนั้น ผมอดที่จะคิดเช่นนั้นไม่ได้

ส่วนบริเวณพนักพิงหลังของเก้าอี้ที่ยับยู่ยี่ จากรอยยู่ยี่นั้น ทำให้ผมมองเห็นความรู้สึกในที่ทำงานของชายคนนั้นได้ดี ไม่ว่าชายคนนั้นเต็มใจที่จะไปทำงานหรือไม่ก็ตาม เขาก็มาทำงานที่นี่ทุกวัน จึงเป็นเรื่องธรรมดา เก้าอี้ที่เขานั่งย่อมสะท้อนให้เห็นสภาพจิตใจของคนที่นั่งเก้าอี้ตัวนั้นไม่ใช่หรือ

ผมค่อยๆมองดูเก้าอี้ตัวที่ผมนั่งอยู่เช่นกัน ผมคิดว่า มันช่างเป็นเก้าอี้ที่โทรมจริงๆ มันเป็นเก้าอี้โทรมๆของตัวแทนหัวหน้าแผนกจนๆอย่างผม

มีเวลาไหนบ้างนะ ที่ผมนั่งเก้าอี้ตัวนี้ โดยไม่รู้สึกตระหนักกลัว ตรงด้านหลังของผม ถ้าเกิดมีใครไอออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมคงจะสะดุ้งโหยงกระโดดตัวออกจากเก้าอี้สักสามสี่นิ้วด้วยความตกใจ แต่ความรู้สึกที่หวาดผวากลัวอะไรสักอย่าง อย่างไม่หยุดหย่อนนี้ ไม่ใช่ผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึก

คุณลองดูหน้าตาพนักงานตอนที่เข้าไปทำงานในบริษัทสิ คนที่หน้าตาแจ่มใส อิ่มเอิบ คือคนที่มีความสุข การที่คนคนนั้นมีความสุข ก็ถือว่าดีแล้ว แค่คนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราจะเห็นสีหน้าท่าทางของพวกเขา เวลาที่เราเปิดประตูทางเข้า ย่างเท้าเข้าไปในห้อง พวกเขาหวาดผวากลัวอะไรกัน  พวกเขาหวาดกลัวใครคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษหรือว่าพวกเขาผวากลัวคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าเขา เช่น ประธานบริษัท หัวหน้าฝ่ายหรือว่าหัวหน้าแผนก พวกเขาคงจะหวาดผวาและกลัวอะไรสักอย่างอย่างแน่นอน แต่มันไม่ได้เป็นเพียงแค่นั้น ที่ผมเล่ามานี้เป็นเพียงสาเหตุหนึ่งเท่านั้น หลักฐานก็คือ ถ้าเราดูหัวหน้าฝ่ายหรือหัวหน้าแผนก ทันทีที่พวกเขาผลักประตูเข้าไป ไม่มีใครสักคนที่จะไม่หวาดผวากลัว

สิ่งที่ทำให้พวกเขาหวาดผวากลัว คืออะไร

สิ่งที่ว่านั้นไม่ใช่มนุษย์แต่ละคน เพราะไม่มีเหตุมีผลที่เป็นรูปธรรมชัดเจน แต่สิ่งที่ว่านั้น คือสิ่งที่ผูกติดกับตัวพวกเขา เวลาที่พวกเขากลับไปบ้านพักผ่อนกับภรรยาและลูก สิ่งที่ผูกติดกับตัวพวกเขานั้น จะเข้าไปก่อกวนพวกเขาในฝันและเข้าไปข่มขวัญมนุษย์ ในขณะที่มนุษย์กำลังหลับอยู่ หากในยามค่ำคืนหรือตอนดึก หรือคืนไหนที่พวกเขาเกิดฝันเห็นความฝันที่น่ากลัวขึ้นมา สิ่งที่ทำให้พวกเขาฝันเห็นความฝันนั้น ก็คือ ไอ้หมอนั่น นั่นเอง

ตอนเช้าที่ยังไม่มีใครไปถึงที่ทำงาน พอผมมองไปที่เก้าอี้ โต๊ะ ที่แขวนหมวก และไม้แขวนเสื้อที่แขวนอยู่ตรงนั้น ผมจะมีความรู้สึกเหมือนกับแน่นหน้าอก สิ่งเหล่านั้น คือสภาพของคนที่ทำงานที่นี่ และสภาพของคนเหล่านี้ทำให้ผมรู้เรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับพวกเขา

เมื่อคืนนี้ แม่ผมร้องไห้และบ่นว่าผมอีกแล้ว แม่ขอร้องลูกว่า ขอลูกอย่าได้ใจร้อนวู่วาม ถึงแม้ตอนนี้เงินเดือนจะน้อย และถึงแม้ชีวิตตอนนี้จะยากลำบากก็ตาม แม่ขอให้ลูกอดทน อย่าด่วนตัดสินใจลาออก ขอให้ตั้งใจทำงานให้ดีนะลูก พูดแล้วแม่ก็ร้องไห้ ผมเลยพลอยหดหู่ใจไปด้วย

เก้าอี้ของผู้ชายที่ผมเล่าให้ฟังนั้น จะถูกผลักเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะ พอผมมองดูเก้าอี้ตัวนั้น ทำให้ผมนึกถึงและจดจำคำพูดปรับทุกข์ด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มที่เขินอาย ตอนที่เขาเล่าเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านของผู้ชายคนนั้นได้ดี

เรื่องที่สามีเล่าจบลงแค่นั้น

สามีเธอไม่ได้เล่าเรื่องบาร์ให้เธอฟัง แต่กลับเล่าเรื่องความทุกข์ทรมานของเขาในที่ทำงานให้เธอฟัง เท่าที่ผ่านมาสามีเธอ เคยบ้างมั้ยที่จะเล่าเรื่องอย่างนี้ให้เธอฟัง

สำหรับตัวเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเพิ่งจะรู้เรื่องที่สามีไปทำงานด้วยความทุกข์ทรมานอย่างนี้ นี่ มันอะไรกัน!เธอ ช่างไม่ใส่ใจอะไรเลย ให้ตายสิ!เธอและสามีใช้ชีวิตอยู่ใต้ชายคาบ้านเดียวกันมาตั้งสิบห้าปี  เราพูดคุยเรื่องอะไรกันบ้าง

สามีเธอกลับบ้านดึกๆดื่นๆทุกคืน ตอนเช้าก็รีบๆออกจากบ้านไปทำงานอย่างนี้มาตลอด เราสองคนปล่อยให้เวลาผ่านไป โดยที่เราไม่ได้พูดคุยเรื่องสาระสำคัญอะไรกันเลยหรือ

ในวันหยุดครอบครัวเราจะพากันออกไปเที่ยวข้างนอกจนเป็นกิจวัตรของครอบครัว ในตอนนั้นสามีเธอเล่าอะไรให้เธอฟัง และเธอถามอะไรสามีบ้าง เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า สามีเธอจะแบกความรู้สึกที่ทุกข์ทรมานที่ว่านั้นไปที่ทำงาน เธอเพียงแต่คิดว่าสามีเธอเป็นคนที่ชอบเที่ยว สามีเธอจึงกลับบ้านดึกดื่นทุกคืนโดยที่เธอไม่ได้คิดเอะใจอะไรแม้แต่น้อย

ตั้งแต่ตอนนั้นที่แต่งงานกัน สามีเธอก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ก็เลยทำให้เธอฝังใจว่า     สามีเธอเป็นคนอย่างนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร  แต่เธอคิดว่าการที่สามีออกไปข้างนอกที่ไหนสักแห่งกับครอบครัวในวันอาทิตย์เสมอนั้น เป็นการทดแทนการใช้ชีวิตที่ไม่ค่อยจะเป็นชีวิตของครอบครัว ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ของเขา เธอกลับมีความคิดว่า เธอพอใจที่จะให้สามีใช้ชีวิตให้เต็มที่แบบที่ว่านี้มากกว่าที่จะให้สามีรีบกลับมาบ้านแต่วันทุกวัน และวันหยุดก็ใช้ชีวิตจำเจน่าเบื่ออยู่กับบ้านเฉยๆ

พอฟังเรื่องที่สามีเล่าให้ฟัง ในที่สุดเธอก็เข้าใจได้ว่า หลังจากเลิกงานแล้ว ถึงจะไม่มีธุระอะไร แต่สามีเธอก็ไม่คิดจะตรงกลับบ้านนั้นเป็นเพราะความรู้สึกทนทุกข์ทรมานที่มีต่องานที่เขาทำอยู่ แม้สามีจะกลับมาบ้าน สามีเธอคงไม่หาที่พักพิงใจไม่ได้เป็นแน่ พอเห็นหน้าภรรยาและลูกๆ สามีเธอคงจะรู้สึกไม่สบายใจ จึงหันไปใช้เวลากับผู้หญิงบาร์และคาบาเรต์เพื่อจะได้ลืมความทุกข์ทั้งหลาย

พอคิดได้อย่างนั้น เธออยากรู้ว่า ตัวเธอมีความหมายอะไรบ้างสำหรับสามีเธอ อยู่ดีๆ คำถามนี้ก็โผล่ขึ้นมาในใจของเธอ เราสองคนเป็นสามีภรรยากัน แต่ถ้าเกิดเราต่างไม่ได้พึงพอใจกันและไม่ได้มีความไว้วางใจต่อกันแล้ว เท่าที่ผ่านมาในฐานะที่เป็นภรรยาของเขา ฉันทำอะไรไปบ้าง

การที่สามีไม่เคยเล่าเรื่องความกังวลและความทุกข์ในที่ทำงานให้เธอฟังแม้แต่สักครั้ง สามีเธอคงจะไปเล่าให้คนอื่นข้างนอกบ้าน ที่ไม่ใช่เธอฟัง และใครคนนั้นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องในครั้งนี้ก็ได้

ตอนที่สามีเล่าเรื่องบาร์ของสองพี่น้อง ภาพของผู้หญิงคนนั้นแวบขึ้นมาราวกับอภินิหาร ในภาพนั้นมีความเป็นจริงที่น่ากลัวแฝงอยู่ เธอรู้สึกกลัวและพยายามที่จะไล่ภาพนั้นให้พ้นๆ แต่เธอก็ทำไม่ได้

การใช้ชีวิตแบบที่ว่า พอตื่นเช้าขึ้นมา สามีก็อยู่บ้านตลอดวันนั้น แรกๆทำให้เธอรู้สึกอึดอัด แต่พอหนึ่งอาทิตย์ผ่านไป เธอกลับคิดว่าการใช้ชีวิตแบบอยู่กับบ้านนี้ดีกว่า

ถ้าหากสามีเธอไม่ต้องออกไปทำงานข้างนอกทุกวัน แล้วครอบครัวเธอมีชีวิตอยู่ได้ก็คงจะดี เธอคิดว่าในยุคก่อนๆ เรื่องที่ว่านี้คงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทำได้ พอผู้ชายรู้สึกเบื่อขึ้นมาก็หยิบกระบองออกไปข้างนอก พอเจอสัตว์ป่าก็วิ่งไล่ตาม และวิ่งไปต่อสู้กับมัน ล้มมัน แล้วก็แบกมันใส่หลังกลับมาบ้าน จับมันห้อยไว้บนไฟ แล้วผู้หญิงและเด็กๆจะเข้าไปล้อมรอบกองไฟ รอจนกว่าจะปิ้งมันจนสุก ถ้าใช้ชีวิตแบบนั้นได้ คงจะดีกว่าอย่างแน่นอน

การดำเนินชีวิตที่ผู้ชายใส่สูททุกเช้า นั่งรถไฟออกไปที่ทำงานที่อยู่แสนไกลจากบ้าน พอตกกลางคืนกลับมาบ้านอย่างหมดเรี่ยวแรง พร้อมกับใบหน้าที่บูดเบี้ยว มีแต่ความทุกข์มิใช่หรือ เธอเริ่มที่จะมีความคิดเช่นนี้

สามีนิ่ง ครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในความมืด

“นอนไม่หลับหรือ“

พอเธอถาม สามีก็รีบกลบเกลื่อน

“เปล่า กำลังจะเคลิ้มหลับอยู่พอดี“

จากนั้นสักครู่ สามีพูดขึ้นมาว่า

“คงเพราะนอนกลางวันมากไป“

“เสกคาถาให้นอนหลับได้ดีมั้ย“

พอพูดจบ เธอก็เอาหน้าของเธอไปแนบกับใบหน้าของสามี ระยะห่างประมาณเปลือกตาของทั้งสองที่จะสัมผัสกันได้

ไม่ใช่คาถาอะไร แต่นี่เป็นวิธีการเล้าโลมที่เธอคิดขึ้นโดยให้ขนตาซ้อนขนตา และเริ่มจ้องมองหน้ากัน

เธอจะใช้ขนตาของตัวเองซ้อนขนตาของสามีเธอ ทำให้ขนตาสั่น เป็นความรู้สึกที่ประหลาด คล้ายกับนกน้อยสองตัวกำลังคุยกันไม่หยุดโดยไม่สนใจเรื่องอื่น และคล้ายกับดอกไม้ไฟลูกเรียวๆ ลูกสุดท้ายที่ถูกจุดกระจายพุ่งขึ้นเป็นลายละเอียดสวยงามตอนดอกไม้ไฟใกล้จะดับ

ท่ามกลางความมืดตอนกลางคืน เธอยังคงเงียบและกระพริบตาต่อไป สายตานั้น เป็นสายตาที่อ่อนโยน ทำให้จิตใจของเขาสงบ เป็นสายตาที่เหมือนกับว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะถามหรือต่อว่าเขาแต่อย่างไร

อะโอะคิตัดสินใจ เริ่มกลับไปทำงาน

วันหยุดอยู่กับบ้านสิบวันของเขาสิ้นสุดลงแล้ว ตอนที่ลูกๆถามเขาว่า

“พ่อมีวันหยุดได้อีกถึงเมื่อไหร่ครับ“

“ถึงเวลาที่พ่อจะต้องทำให้วันหยุดสิ้นสุดลงแล้ว“

ยิ่งไปกว่านั้นอะโอะคิไม่อาจเพิกเฉยสายตาของคนแถวบ้านที่มองสามีเธอด้วยความสงสัย เวลาที่เธอไปซื้อกับข้าว จะมีแม่บ้านบางคนพยายามที่จะเข้ามาซอกแซกถามเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ความลับอย่างนี้ แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และน่าใจหาย แม้ว่าแถวบ้านที่เธออยู่จะไม่มีบ้านใครที่ทำงานที่เดียวกับสามีเธอก็ตาม แต่อาจจะมีข่าวลือมาจากที่ไหนสักแห่งก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม พออะโอะคิคิดถึงเรื่องลูก เพราะเขาบอกลูกไปตั้งแต่แรกว่าเป็นวันที่เขาจะลาหยุดต่อไปเรื่อยๆอย่างนี้ไม่ได้ เขาคิดว่าคงต้องเริ่มออกหางานทำใหม่ได้แล้ว ดังนั้นในตอนเช้า สามีเธอจึงออกจากบ้านตามเวลาปกติที่เขาเคยออกไปทำงานทุกวัน

ในวันแรก พอสามีเธอออกจากบ้านไปแล้ว เธอมีความรู้สึกเหมือนกับหมดเรี่ยวแรง ในใจเธอ เห็นแต่ภาพสามีเดินไปตามท้องถนนที่แสงอาทิตย์สาดส่องอย่างไร้จุดหมาย ภาพสามีเธอที่เดินผสมปนเปเข้าไปในฝูงชนด้วยความกังวลและกลัวว่า อาจจะเจอคนที่รู้จักเข้าก็ได้ ความรู้สึกที่ขมขื่นของสามีที่เดินไปด้วยฝีเท้าที่หมดหวัง เธอวาดภาพเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน

เพื่อหลีกเลี่ยงและหลบสายตาผู้คน สามีเธออาจจะหลบเข้าไปดูหนังในโรงหนังมืดๆสักแห่งหรือไม่ก็ขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้บนชั้นดาดฟ้าของห้างสรรพสินค้า มองดูภาพแม่ที่กำลังเล่นกับลูกน้อยของเธอก็ได้

อยู่ๆภาพเหล่านั้นก็เลือนหายไป กลายเป็นภาพด้านหลังของสามีที่กำลังก้าวขึ้นบันไดไปยังอพาร์ตเม้นท์ที่ไหนก็ไม่รู้ ดูเหมือนเลือดที่สูบฉีดทั่วตัวเธอจะแข็งตัวไปหมด (อันตราย!ไปที่นั่นไม่ได้!อย่าไป อย่าไป บอกว่าอย่าไป!)

เธอเริ่มตะโกนเสียงดังแต่สามีเธอก็ยังคงเดินขึ้นบันไดไปอย่างเชื่องช้าๆ (ไม่ได้ อย่า !ถ้าไปที่นั่นก็จบเห่แน่ จบกันแน่คราวนี้!)

ภาพต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นกับเธอ ในขณะที่เธออยู่ที่บ้าน พอตกเย็นเธอพบว่า ในขณะที่เธอกำลังยืนทำงานอยู่ในครัว เธอมีความรู้สึกคล้ายกับคนที่กำลังจะป่วยไข้ ปวดเมื่อยไปทั่วทั้งตัว

ตรงถนนหน้าบ้าน ลูกๆกำลังเล่นขว้างรับลูกบอลกัน เธอได้ยินเสียงลูกสองคนของเธเคุยกัน

“เร็วมากเลย”

“เม็กซิโก อินเดียน“

“วิ่งไล่ต้อนตัวแอนทีโลป*(เป็นสัตว์ที่มีหน้าตาคล้ายแพะและกวาง แต่จะมีเขาเหมือนแพะมากกว่ากวาง)ได้ทั้งวันไม่รู้จักเบื่อ“

“พวกชนเผ่า ทะมะฟุมะระไงล่ะ  ทะ มะ ฟุ มะ ระ“

“ถ้ามาญี่ปุ่นคงเยี่ยมเลยนะ”

คำพูดที่ว่านี้ลอยมาเข้าหูเธอ จังหวะเดียวกับเสียงลูกบอล

(สามีจะกลับมาบ้านมั้ยหนอ ขอเพียงให้สามีเธอกลับมาด้วยความปลอดภัยก็พอแล้ว จะเป็นคนตกงานหรือเป็นอะไรก็ไม่เป็นไร ขอเพียงอย่าจากบ้านนี้ไปก็พอแล้ว!)

เธอหยิบไม้ขีดขึ้นมาจุดไฟที่เตาแก็ส จากนั้นเธอก็ยื่นมือไปหยิบหม้อจากหิ้งข้างบน

“พอเพียงให้กลับมาบ้าน“

สระว่ายน้ำกลับคืนสู่ความเงียบสงบ

ตรงกลางผิวน้ำของสระน้ำ เอาเชือกแบ่งลู่ออกไปหมดแล้ว เห็นมีแต่ศีรษะของผู้ชายเพียงคนเดียวลอยอยู่กลางสระน้ำ

การแข่งขั้นจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ วันนี้การฝึกซ้อมจึงเลิกเร็วกว่าปกติสองชั่วโมง หลังจากที่นักกีฬากลับไปแล้ว ครูที่เป็นโค้ชดำลงไปในสระน้ำ ใช้นิ้วเท้าหนีบขยะที่จมอยู่ใต้สระน้ำขึ้นมา

ลมยามเย็นพัดโชยมา บางครั้งก็มีคลื่นเล็กๆบนผิวน้ำ

ในไม่ช้า เราจะเห็นรถไฟวิ่งจากรางรถไฟที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับสระว่ายน้ำ ภาพของสระว่ายน้ำ จะปรากฏสู่สายตาผู้โดยสารที่กลับจากที่ทำงานอย่างเงียบๆ ในสระน้ำไม่มีนักกีฬาหญิงที่ว่ายน้ำอยู่เป็นประจำ จะมีก็เพียงศีรษะของผู้ชายคนหนึ่งโผล่อยู่บนผิวน้ำ

Leave a Reply