
ปรับเปลี่ยนตัวเอง–แนวความคิด
สวัสดีค่ะ ทุกคนที่แวะเข้ามาหามุมเงียบๆ อ่านเรื่องที่ดิฉันเองอยากแบ่งปัน สำหรับคนที่ยังอยากเก็บตกความรู้
เขียนโดย: ปรียา อิงคาภิรมย์
ดิฉันขอเอาเรื่องเกี่ยวกับหนังสือที่อ่านและแลกเปลี่ยนความคิดกับคุณวินทร์ เลียววาริณ ในเว็บไซด์ของคุณวินทร์มาเมื่อ แปดปืที่แล้ว และทุกครั้งก็จะไม่ลืมที่จะเอาเรื่องที่เขียนคุยกับคุณ วินทร์ มาโพสในโรงเรียนเด็กวัดปรียา
แต่เนื้อหาที่พูดถึง ทุกอย่างก็หายไปหมดแล้วกับโรงเรียนเด็กวัดปรียา และตอนนี้ก็พยายามเจียดเวลา ด้วยการเริ่มต้นเขียนเรียบเรียง และเขียนเรื่องใหม่ๆเมื่อมีเวลา ต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์
ความสวยงามตามธรรมชาติ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า
ก็คงทำให้เราดีใจที่เรามีชีวิตอีกวัน
หนังสืออีกเล่มที่อ่านหลังจากเรื่อง “Stumbling on Happiness” คือ เรื่อง “Redirect” (2011) เขียนโดย Timothy Wilson หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่คิดว่าน่าสนใจอีกเล่มหนึ่ง สำหรับความคิดเห็นส่วนตัว จากที่สังเกต ไม่ว่าจะในยูทูป
หรือแฟนๆคุณวินทร์ที่เข้าไปคุยและถามคุณวินทร์ ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียน ที่อยู่ในวัยเรียน ต้องการแสวงหาความรู้ และต้องแข่งขันกับคนอื่นที่อยู่ในวัยเรียนเหมือนกัน
หนังสือเล่มนี้เนื้อหาจะเน้นและพุ่งตรงไปที่ยุทธวิธีต่างๆและใช้หลักด้านจิตวิทยา ที่สอนให้คนอ่านได้เข้าใจ ชีวิตการเรียน การทำงาน การมองชีวิตและการมองโลกเท่านั้น แต่ผู้เขียนยังเขียนเกี่ยวกับจิตวิทยาการใช้ชีวิตของแต่ละคน
ความแตกต่างระหว่างคนที่มองโลกในแง่ดี และในแง่ลบ และผลกระทบออกมาเป็นอย่างไร มีการสำรวจและเปรียบเทียบ คิดว่าน่าสนใจทีเดียว สำหรับคนที่มองโลกในแง่ที่ไม่ถูกต้อง เช่น นักเรียนทำสอบได้ไม่ดี แล้วก็ปรักปรำตัวเองว่าเป็นคนโง่
หรือไม่ได้เรื่อง ซึ่งผู้เขียนเขียนเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนว่า เป็นความคิดที่ถูกต้องหรือไม่ และยังเปรียบเทียบให้เห็นผลกระทบ ของคนที่มองโลกในแง่บวกและแง่ลบที่มีต่อการมองโลกว่าแตกต่างกันอย่างไร
สำหรับหนังสือเล่มนี้ เจาะกว้างพอสมควร ในเรื่อง เกี่ยวกับ การติดยา เรื่องการมีท้องของวัยรุ่น เรื่องการเหยียดผิว เป็นต้น ดิฉันไม่ได้อยู่ในวัยเรียนเหมือนทุกคน จึงไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่ว่าเหล่านี้ แต่สำหรับคนที่มีครอบครัว และมีลูกที่กำลังโต ไม่ว่าในสังคมอเมริกา
หรือในสังคมไทย คิดว่าปัญหาที่ว่าเหล่านี้เป็นปัญหาที่น่าสนใจทีเดียว เพราะปัญหาวัยรุ่นติดยา และมีท้องตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นปัญหาทางสังคมอย่างมาก เป็นต้น
อีกเรื่องที่น่าสนใจจากการอ่านหนังสือ Redirect คือ หลังจากเกิด Nine Eleven (9/11)ในอเมริกา คณะจิตแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญในอเมริกา ต่างวิ่งกันุว่น ทำงานกันตัวเป็นเกลียว เพื่อไปพูดคุยกับเหยื่อ หรือคนที่อยู่ในเหตุการณ์หรือ มีประสบเหตุการณ์ในวันนั้น
รวมทั้ง ครอบครัวคนที่ต้องสูญเสียคนรัก คนในครอบครัว และเพื่อน ตลอดจนคนที่รอดตายจากเหตุการณ์วันนั้นฃสิ่งที่นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจน นักสังคมสงเคราะห์ ต่างพากันออกไปเป็นหน่วยกู้ภัยด้วยการไปพูดคุยกับเหยื่อหรือคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น
เพื่อผ่อนคลายและบรรเทาจิตใจผู้ที่ได้รับผลกระทบทางด้านจิตใจในวันนั้น วิธีการที่ใช้ ถือว่าเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ได้ผลหรือไม่อย่างไร มีผลการสำรวจที่น่าสนใจเช่นกัน
จากหนังสือเล่มนี้ ทำให้ได้รับความรู้อย่างมาก เพราะมีข้อคิดที่แตกต่างจากที่เคยอ่านจากหนังสือเล่มอื่นๆ และคิดว่าความรู้ที่ได้รับจากหนังสือเล่มนี้ คงนำมาประยุกต์ใช้กับคนไทยบางคน ที่ทำธุรกิจ แล้วก็ล้มเหลว บางคน ถึงกับหมดเนื้อหมดตัว บ้านก็ไม่มีจะอยู่
ต้องขายทิ้ง หรือทรัพย์สินที่เคยเก็บก็ต้องขาย เพื่อนำมาใช้หนี้ เป็นต้น ในช่วงที่เขียนเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ ได้ข่าวว่า คุณพ่อของอดีตลูกศิษย์ ต้องสูญเสียโรงงานสองแห่งทีอยุธยาจากน้ำท่วมกรุงเทพฯที่เกิดขึ้นในบ้านเรา
จากข่าวต่างๆที่เกิดในปีนั้น มีบางบ้านที่ บ้านน้ำท่วมต้องใช้เงินเป็นแสน ซ่อมแซมบ้าน ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหน เครียดต้องไปเข้าโรงพยาบาล ฟังแล้วทำให้รู้ว่า น้ำท่วมที่เกิดในกรุงเทพในอดีต มีผลกระทบกับคนในวงกว้างมากทีเดียว และในปัจจุบัน
อัตราการฆ่าตัวตายของบ้านเราโรคซึมเศร้าและคนที่ล้มละลายมีอัตราเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก
ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงแบบที่ว่านี้ โดยเฉพาะคนไทยที่เป็นโรคซึมเศร้า มีจำนวนไม่น้อยในบ้านเราไม่ใช่เป็นเฉพาะในต่างประเทศ แต่คิดว่า บ้านเราคงไม่มีทีมนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะหอาสาสมัครออกไปสำรวจ เยียวยา ให้ความช่วยเหลือ
ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อไม่ว่าจะด้านการเงิน หรือด้านจิตใจ และในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆที่ว่านี้ ผลกระทบที่มีต่อจิตใจผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ มีอาการ และสภาพจิตใจอย่างไร แบบที่ประเทศทางตะวันตก จะนิยมทำการสำรวจและวิจัยกันก็ว่าได้
เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ จะเน้นการเปิดกว้างให้เราได้ขบคิด ได้ทบทวนเรื่องต่างๆ ในอีกแง่มุมหนึ่งที่แตกต่างจากในอดีตที่แล้วๆมา เพราะจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ ทำให้รู้ว่า ยังมีอะไรอีกมากทีเดียว ที่คนทั่วไปในโลกนี้ และคนไทยส่วนใหญ่
ยังเข้าใจไม่ถูกต้อง มีทัศนคติ ตลอดจนแนวความคิดที่ไม่ถูกต้องนัก แล้วเราจะเปลี่ยนแนวความคิดที่ไม่ถูกต้องเหล่านั้นให้ถูกต้องอย่างไร
ดิฉันคิดว่า หนังสือเล่มนี้ คงเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับปรุงและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆจากการสำรวจค้นคว้าใหม่ๆที่เขียนให้เราอ่านกัน
One thought on “ปรับเปลี่ยนตัวเอง–แนวความคิด”
ความแตกต่างของคนที่เรียนแล้วทำสอบไม่ได้ หรือสอบตก หรือไม่ก็เตรียมสอบเต็มที่ แต่ผลออกมาไม่ดี แล้วก็หมดกำลังใจ คิดว่าตัวเองโง่ และสรุปว่า ไม่ว่าตัวเองจะพยายามเท่าไรก็ไม่มีทางสู้คนอื่นได้
เมื่อนำไปเทียบกับคนที่สอบไม่ได้ หรือสอบตกเหมือนกัน แทนที่จะมองว่าตัวเองโง่ พยายามเต็มที่แล้ว ไม่เห็นได้เรื่อง
คนที่มองโลกในแง่ดี หรือในแง่บวก จะนำสิ่งที่ทำผิดพลาด เช่น ที่นสอบตก หรือทำได้ไม่ดี เพราะว่า เตรียมตัวไม่พร้อม หรือเรียนมาไม่เข้าใจจึงทำได้ไม่ดี
คราวหน้าจะต้องพยายามหาทางปรับปรุงแก้ไขจุดบกพร่องของตัวเอง
คนที่มองในแง่บวก ในการสอบครั้งต่อไปจะทำสอบและเรียนได้ดีขึ้นมาก ผิดกับคนที่มองโลกในแง่ลบสอบครั้งต่อไปก็ยังคงทำไม่ได้ เพราะก่อนสอบก็คิดเหมาว่า
คงเหมือนเดิมไม่มีทางทำได้ดี
นี่คือการสำรวจจากนักเรียนและนักศึกษา ซึ่งคิดว่า นำไปประยุกต์ใช้กับการทำงานก็ได้ กับการใช้ชีวิตประจำวันก็ได้
ดังนั้น การมองโลกในแง่บวกจะมีส่วนให้กำลังใจในการเรียน การทำงาน และเปิดกว้างในการที่จะปรับปรุงตัวเองแทนที่จะหมดหวัง และหมดกำลังใจ